เมื่อพูดถึง “ผนังเบา” หลายคนอาจจะรู้สึกงงๆ ว่ามันคือผนังชนิดไหนกัน? วันนี้ Srangban.com จะมาอธิบายกันให้ฟังกันนะคะ ว่าผนังเบามันเป็นยังไง จะเบาแค่ไหน? ไปติดตามกันเลยคะ
ผนังเบา เป็นผนังชนิดที่ไม่จำเป็นต้องมีคานมารองรับเหมือนเช่นการก่อผนังแบบอื่น เนื่องด้วยน้ำหนักที่ไม่มากเกินไป ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 20-50 กิโลกรัมใน 1 ตารางเมตร เป็นผนังที่ก่อสร้างด้วยการติดตั้งวัสดุแผ่นใหญ่เข้ากับ “โครงคร่าว” ทำให้มีน้ำหนัก น้อยกว่า ผนังก่ออิฐ หรือผนังคอนกรีตเสริมเหล็ก จึงถูกเรียกชื่อว่า “ผนังเบา” สำหรับวัสดุที่นิยมใช้ทำผนังเบา ได้แก่ ไม้อัด, แผ่นยิปซัม, แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์, แผ่นไม้อัดซีเมนต์ และแผ่นเซลโลกรีต ส่วนวัสดุที่ใช้ทำโครงคร่าว ได้แก่ โครงเหล็กรูปพรรณ, โครงเหล็กชุบสังกะสี (กัลวาไนซ์) และโครงไม้เนื้อแข็ง
โดยการติดตั้งจะใช้ ตะปู หรือ ตะปูเกลียว เป็นตัวยึดวัสดุแผ่นใหญ่เข้ากับโครงคร่าว จากนั้นจึงเก็บรอยต่อระหว่างวัสดุแผ่น เช่น แผ่นยิปซั่มจะใช้ผ้าฉาบ (เทปผ้าฉาบ) กับปูนฉาบรอยต่อ แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์จะใช้กาวโพลียูรีเทน (PU) อุดรอยต่อ เป็นต้น
การกั้นห้องผนังเบาสามารถกั้นได้ทั้งงานภายในและงานภายนอก โดยเลือกคุณสมบัติของแผ่นให้เหมาะสม และการกั้นห้อง ผนังเบา นี้ หากทำอย่างเรียบร้อยและมีการตกแต่งผิวอย่างดี จะมีทั้งความแข็งแรงและความสวยงามไม่แพ้งานปูน ในเรื่องของความแข็งแรงอาจไม่เท่างานปูน แต่เรื่องความสวยงามการันตีได้ว่าสวยไม่แพ้งานปูน สามารถที่จะตกแต่งผิวด้วยการทาสีหรือติดวอลล์เปเปอร์ได้เหมือนกัน
ทำความรู้จักแผ่นสมาร์ทบอร์ดสักหน่อย
สมาร์ทบอร์ด เป็นวัสดุไฟเบอร์ซีเมนต์ที่สามารถใช้กับงานผนังได้ทั้งภายในและภายนอก ในระบบผนังโครงเบา ก็กำลังเริ่มเป็นที่นิยมนำมาใช้ในงานก่อสร้างมากขึ้นเช่นกัน เนื่องจากติดตั้งได้ง่ายและรวดเร็ว รวมทั้งมีคุณสมบัติต่างๆ ที่เรียกได้ว่าใกล้เคียงหรือเทียบเท่าผนังก่ออิฐอีกด้วย ทั้งเรื่องความแข็งแรง การกันเสียง การทนแดดฝน และการกันความร้อน และที่โดดเด่นคือเรื่องของน้ำหนักที่เบากว่าผนังก่ออิฐถึง 6 เท่า
ในตลาดแผ่นสมาร์ทบอร์ดมีหลายยี่ห้อ มีทั้งยิปซั่ม ตราช้าง วีว่าร์ ตราเพชร ยี่ห้อที่คุ้นหูและได้ยินบ่อยๆ เห็นจะมี “สมาร์ทบอร์ดตราช้าง” กับ “วีว่าร์บอร์ด” แผ่นสมาร์ทบอร์ดมีหลายขนาด ขนาด ที่ว่าคือความหนา ความหนาที่ต่างกัน เหมาะกับการใช้งานที่ต่างกัน
ขนาดพื้นที่ กว้าง x ยาว จะเป็นขนาดมาตรฐานคือ 1.2 x 2.4 เมตร
ส่วน ความหนา มีตั้งแต่ 4, 6, 8, 10, 12, ……20, 22, 24 มิลลิเมตร
กั้นผนังภายในอาคาร ควรใช้ขนาดตั้งแต่ 4-8 มิลลิเมตร วัตถุประสงค์คือ การกั้นพื้นที่ในอาคารเท่านั้น ไม่มีการโดนแดดโดนฝน
กั้นผนังภายนอกอาคาร ควรใช้ขนาดตั้งแต่ประมาณ 10-12 มิลลิเมตร เพื่อความแข็งแรงและทนแดดทนฝน
ทำแผ่นพื้น ควรใช้ขนาดประมาณ 20 มิลลิเมตรขึ้น เพื่อความแข็งแรงทนทานในการรับน้ำหนัก
ที่มากไปกว่านั้นคือ “สมาร์ทบอร์ด” เป็นวัสดุที่สามารถรื้อถอนเพื่อนำไปประกอบติดตั้งใหม่ได้ จึงนับว่าช่วยลดการใช้ทรัพยากรได้อีกทางหนึ่ง
อิฐมวลเบา…ไม่ได้เบาเหมือนผนังเบานะจ้ะ
อย่าเพิ่งเข้าใจผิด หยิบเอาความเบาของทั้งสองชนิดมารวมกัน เพราะอิฐมวลเบาต่างจากผนังเบาอย่างสิ้นเชิง อิฐมวลเบาอาจจะดูชื่อเหมือนเบา แต่ในความเป็นจริงระดับน้ำหนักของมันพอๆ กับอิฐมอญและอิฐทั่วๆ ไป โดยเฉพาะหลังจากที่มีการฉาบปูนแล้ว
รู้จักกับ “โครงเหล็กกัลวาไนซ์”
หากเปรียบโครงคร่าวกับร่างกายมนุษย์จะเปรียบได้กับกระดูกภายใต้ผิวผนัง และผิวหนังนี้เองจะเปรียบเป็นวัสดุแผ่นเบาที่เชื่อมติดกับโครงคร่าวโดยขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ แม้ว่าเราจะไม่สามารถมองเห็นโครงคร่าวได้อย่างเด่นชัดก็ตามที แต่ก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยรองรับวัสดุแผ่นเบาทั้งที่เป็นแผ่นผนังหรือแผ่นฝ้าเพดานให้คงตัวอยู่ได้ไม่พังลงมา หนึ่งในวัสดุโครงคร่าวที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ “โครงกัลวาไนซ์” โครงเหล็กชุบสังกะสีกันสนิม ซึ่งมีน้ำหนักเบา แข็งแรง และไม่เป็นสนิม ถูกผลิตขึ้นเพื่อตอบโจทย์วัสดุแผ่นเบาในท้องตลาดที่มีให้เลือกใช้ค่อนข้างหลากหลายทั้งเรื่องของเนื้อวัสดุ รูปแบบ ขนาด ความหนา และน้ำหนักที่แตกต่างกันไปตามลักษณะการใช้งาน
โครงกัลวาไนซ์แบ่งได้เป็น 3 รูปแบบคือ โครงตัวยู (U) โครงตัวซี (C) และโครงตัวที (T) การติดตั้งขึ้นอยู่กับประเภทการใช้งาน ความหนาโครงมีหลากหลาย แบ่งได้ตามเบอร์ เช่น เบอร์ 24 (หนาประมาณ 0.5 มม.) เบอร์ 26 (หนาประมาณ 0.4 มม.) และ เบอร์ 27 (หนาประมาณ 0.35 มม.) ทุกรุ่นสามารถใช้งานได้เช่นกัน โครงเบอร์ 26 และเบอร์ 27 จะเป็นโครงสำหรับผนังรุ่นประหยัด แต่ควรเลือกใช้โครงเบอร์ 24 ซึ่งเป็นโครงมาตรฐาน มอก. 863-2532 (กำหนดว่าโครงคร่าวต้องมีความหนาไม่น้อยกว่า 0.5 มม.) มีความแข็งแรงและรับน้ำหนักได้ดี
โครงคร่าว U Line จะใช้เป็นฐานรับด้านล่างและด้านบน ส่วนโครงคร่าว C Line ซึ่งการที่มีแง่งเพิ่มขึ้นมาจะทำให้แข็งแรงกว่า U Line เหมาะสำหรับการใช้เป็นโครงคร่าวแนวตั้วและแนวขวาง ซึ่งจะรับแรงและรับนำ้หนักของแผ่นสมาร์ทบอร์ดได้ดีกว่า
ดังนั้นสัดส่วนการใช้งาน จำนวนของโครงคร่าว C Line จะใช้งานมากกว่า U Line จึงควรทำความเข้าใจให้ชัวร์ว่าแบบไหนคือ C แบบไหนคือ U และคำนวณหน้างานให้ดีก่อนว่าจะต้องใช้ C Line กี่เส้น และ U Line กี่เส้น
“ผนังเบา” นอกจากใช้ทำเป็นผนังทั่วไป หรือกั้นห้องเพื่อจัดสรรพื้นที่ภายในบ้าน ยังสามารถเป็นผนังเสริมเพื่อติดตั้ง ฉนวนกันเสียง หรือฉนวนกันความร้อนกับผนังบ้านเดิมได้ การเลือกโครงคร่าวสำหรับผนังจะเลือกใช้ โครงตัวยู (U)และโครงตัวซี (C) ที่นำมาสอดประสานประกอบกันในแนวตั้งฉาก เพื่อความมั่นคงแข็งแรง โครงตัวยูซึ่งมีความกว้างมากกว่าจะถูกวางในแนวนอนรองรับโครงตัวซีซึ่งวางตัวในแนวตั้งที่สามารถยึดเข้าไปในโครงตัวยูได้พอดิบพอดี (ความกว้างของตัวซีจะเท่ากับช่องว่างภายในโครงตัวยูพอดี)
โครงคร่าวสำหรับฝ้าเพดานก็สำคัญ?
ฝ้าเพดานช่วยเก็บงานระบบต่างๆ ใต้พื้นชั้นบนและใต้โครงหลังคาให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย และยังเป็นตัวตกแต่งเพิ่มลูกเล่นให้เกิดสเปซที่น่าสนใจได้มากขึ้น การเลือกโครงคร่าวจึงสำคัญเพราะนอกจากต้องตอบโจทย์ทั้งเรื่องการรับน้ำหนักวัสดุแผ่นฝ้าได้อย่างดี มีระยะการติดตั้งที่เหมาะสม ยังช่วยให้การตกแต่งวางลวดลายฝ้าแต่ละแบบเป็นไปได้อย่างลงตัว ซึ่งโครงกัลวาไนซ์สำหรับงานฝ้าเพดานมี 2 รูปแบบตามประเภทของฝ้าเพดาน คือ โครงตัวซี (C)สำหรับงานฝ้าเพดานฉาบเรียบและตีเว้นร่อง และระบบโครงคร่าวทีบาร์สำหรับงานฝ้าเพดานทีบาร์ การติดตั้งงานโครงคร่าวของฝ้าเพดานแต่ละรูปแบบควรติดตั้งตามมาตรฐานและคำแนะนำของผู้ผลิตแต่ละราย เช่น งานฝ้าฉาบเรียบโดยทั่วไปจะมีระยะโครงคร่าวหลัก 80 ซม. โครงคร่าวซอย 40 ซม. แต่หากเป็นงานฝ้าที่ติดตั้งแบบเว้นร่องเพื่อให้เกิดลวดลายตามที่ออกแบบไว้จะต้องเสริมโครงคร่าวตัวซีรองรับทุกรอยต่อที่ขอบแผ่นวัสดุให้มีจุดยึดเพิ่มเพื่อความแข็งแรง
อีกสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการเลือกโครงคร่าวให้สอดคล้องกับวัสดุแผ่นเบานั้นก็คือ อุปกรณ์ยึดต่างๆ ที่มีคุณภาพ รวมถึงการติดตั้งที่ได้มาตรฐาน ทั้งระยะห่างโครงคร่าว ตำแหน่งและจำนวนสกรูที่ยึด เพื่อให้ได้งานผนังและงานฝ้าเพดานที่สวยงามมีความแข็งแรงปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัยในบ้านทุกคน
ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก : scgbuildingmaterials , house349
***********************************************************************